วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 9 การติดตั้งระบบปฏิการ Windows Xp

การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP โดยปกติ จะสามารถทำได้ 2 แบบคือ การติดตั้งโดยการอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม หรือทำการติดตั้งใหม่เลยทั้งหมด สำหรับตัวอย่างในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ ขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP แบบลงใหม่ทั้งหมด ซึ่งความเห็นส่วนตัว น่าจะมีปัญหาในการใช้งานน้อยกว่าแบบอัพเกรดค่ะ
วิธีการติดตั้ง Windows XP ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบดังนี้
1. ติดตั้งแบบอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม โดยใส่แผ่น CD และเลือกติดตั้งจาก CD นั้นได้เลย
2. ติดตั้งโดยการบูตเครื่องใหม่จาก CD ของ Windows XP Setup และทำการติดตั้ง
3. ติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์ โดยทำการ copy ไฟล์ทั้งหมดจาก CD ไปเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ ก่อนทำการติดตั้ง


ในการแบ่งพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ แนะนำให้ทำการวางแผนประมาณขนาดพื้นที่ไว้ล่วงหน้าด้วย โดยทั่วไปก็ไม่ควรจะใช้พื้นที่ต่ำกว่า 3G. และเนื่องจากระบบ Windows XPสามารถที่จะสร้างเมนู Multi Boot ได้หลังจากที่ติดตั้งไปแล้ว โดยยังสามารถเลือกเมนูว่า จะเรียก Windows ตัวเดิมหรือจะเรียก Windows XP ก็ได้ ดังนั้น หลาย ๆ ท่านมักจะแบ่งพื้นที่ไว้ลง Windows 98 ที่ Drive C: ประมาณ 5G. และเผื่อไว้สำหรับ Windows XP ที่ Drive D: อีกประมาณ 5G. ที่เหลือก็จะเป็น Drive E: สำหรับเก็บข้อมูลอื่น ๆ ทั่วไป แต่ถ้าหากลง Windows เพียงแค่ตัวเดียว ก็ไม่จำเป็นค่ะ
การตั้งค่าใน BIOS ก่อนทำการติดตั้ง Windows XP ใหม่จะต้องทำการ Disable Virus Protection ใน BIOS ซะก่อน เพราะว่าเมนบอร์ดบางรุ่นจะมีการป้องกัน Virus โดยการป้องกันการเขียนทับในส่วนของ Boot Area ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมา เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกตั้งค่านี้อยู่แล้ว ถ้าหากเครื่องของใครไม่มีก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเมนบอร์ด บางรุ่นอาจจะไม่มีก็ได้ วิธีการก็คือ
         เริ่มจากการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ขณะที่เครื่องกำลังทำ Memory Test หรือนับ RAM อยู่นั่นแหละ ด้านล่างซ้ายมือจะมีคำว่า Press DEL to enter SETUP ให้กดปุ่ม DEL บน Keyboard เพื่อเข้าสู่เมนูของ Bios Setup (แล้วแต่เมนบอร์ด ด้วยบางทีอาจจะใช้ปุ่มอื่น ๆ สำหรับการเข้า Bios Setup ก็ได้ลองดูให้ดี ๆ) จากนี้ก็แล้วแต่ว่าเครื่องของใคร จะขึ้นเมนูอย่างไร คงจะไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จากนั้นให้มองหาเมนู Bios Features Setup ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่สอง ใช้ปุ่มลูกศรเลื่อนแถบลงมาแล้วกด ENTER ถ้าใช่จะมีเมนูของ Virus Warning หรือ Virus Protection อะไรทำนองนี้ ถ้าหากเป็น Enable อยู่ละก็ให้เปลี่ยนเป็น Disable โดยเลื่อนแถบแสงไปที่เมนูที่เราต้องการใช้ปุ่ม PageUp หรือ PageDown สำหรับเปลี่ยนค่าให้เป็น Disable 
กดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปเมนูหลักของ Bios Setup มองหาเมนูของ SAVE TO CMOS AND EXIT หรืออะไรทำนองนี้เลื่อนแถบแสงไปเลยแล้วกด ENTER ถ้าหากเครื่องถามว่าจะ Save หรือไม่ก็ตอบ Y ได้เลย หลังจากนี้เครื่องจะทำการ Reboot ใหม่อีกครั้ง ใส่แผ่น Startup Disk ที่เราทำไว้ตามขั้นตอนแรกรอไว้ก่อนเลย
มาดูขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น การติดตั้ง Windows XP กันเลยค่ะเริ่มต้น โดยการเซ็ตให้บูตเครื่องจาก CD-Rom Drive ก่อน โดยการเข้าไปปรับตั้งค่าใน bios ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเลือกลำดับการบูต ให้เลือก CD-Rom Drive เป็นตัวแรกครับ (ถ้าหากเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร)

 
 ทำการปรับเครื่อง เพื่อให้บูตจาก CD-Rom ก่อน จากนั้นก็บูตเครื่องจากแผ่นซีดี Windows XP Setup โดยเมื่อบูตเครื่องมา จะมีข้อความให้กดปุ่มอะไรก็ได้ เพื่อบูตจากซีดีคะ ก็เคาะ Enter ไปทีนึงก่อน
 
 โปรแกรมจะทำการตรวจสอบและเช็คข้อมูลอยู่พักนึง รอจนขึ้นหน้าจอถัดไปค่ะ
 
เข้ามาสู่หน้า Welcome to Setup กดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
         
 หน้าของ Licensing Agreement กดปุ่ม F8 เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
 
 ทำการเลือก Drive ของฮาร์ดดิสก์ที่จะลง Windows XP แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
 

 เลือกชนิดของระบบ FAT ที่จะใช้งานกับ Windows XP หากต้องการใช้ระบบ NTFS ก็เลือกที่ข้อบน แต่ถ้าจะใช้เป็น FAT32 หรือของเดิม ก็เลือกข้อสุดท้ายได้เลย (no changes) ถ้าไม่อยากวุ่นวาย แนะนำให้เลือก FAT32 นะคะ แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป
 โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้ง รอสักครู่ค่ะ
 

 หลังจากนั้น โปรแกรมจะทำการ Restart เครื่องใหม่อีกครั้ง (ให้ใส่แผ่นซีดีไว้ในเครื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อบูตเครื่องใหม่ ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปเองได้เลยค่ะ)
 
 หลังจากบูตเครื่องมาคราวนี้ จะเริ่มเห็นหน้าตาของ Windows XP แล้วค่ะ รอสักครู่

โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้งต่าง ๆ ก็รอไปเรื่อย ๆ ค่ะ

จะมีเมนูของการให้เลือก Regional and Language ให้กดปุ่ม Next ไปเลยค่ะ ยังไม่ต้องตั้งค่าอะไรในช่วงนี้

ใส่ชื่อและบริษัทของผู้ใช้งาน ใส่เป็นอะไรก็ได้ แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

ทำการใส่ Product Key (จะมีในด้านหลังของแผ่นซีดี) แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

หน้าจอให้ใส่ Password ของ Admin ให้ปล่อยว่าง ๆ ไว้แบบนี้แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือก Time Zone ให้เป็นของไทย (GMT+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

รอสักพัก จนกระทั่งขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP ครับ จากนั้น จะมีการบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นการใช้งานจริง ๆ

บูตเครื่องใหม่คราวนี้ อาจจะมีเมนูแปลก ๆ แบบนี้ เป็นการเลือกว่า เราจะบูตจากระบบ Windows ตัวเก่าหรือจาก Windows XP ครับ ก็เลือกที่ Microsoft Windows XP Professional ครับ ถ้าของใครไม่มีเมนูนี้ก็ไม่เป็นไรนะคะ

เริ่มต้นบูตเครื่อง เข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP แล้วค่ะ

ในครั้งแรก อาจจะมีการถามเรื่องของขนาดหน้าจอที่ใช้งาน กด OK เพื่อให้ระบบตั้งขนาดหน้าจอให้เราได้เลยค่ะ นอกจากนี้ ถ้าหากเครื่องไหนมีการถาม การติดตั้งค่าต่าง ๆ ก็กดเลือกที่ Next หรือ Later ไปก่อน บางครั้งอาจจะมีให้เราทำการสร้าง Username อย่างน้อย 1 ฃื่อก่อนเข้าใช้งาน ก็ใส่ชื่อของคุณเข้าไปได้เลย
 

แบบทดสอบท้ายบท บทที่ 9

บทที่ 13 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์


13.1 บทนำ
         ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์จะลดลงมามากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงกับอยู่ในขั้นหลักร้อยหรือหลักพันบาทเพราะยังคงมีราคาอยู่ในหลักหมื่นบาทดังนั้นผู้ที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้งานจึงจำเป็นจะต้องดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้กับการซ่อมเครื่อง

13.2 สิ่งที่ถือเป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
      
สิ่งที่ถือว่าเป็นอันตรายสามารถทำร้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เสียหายก่อนถึงเวลาอันควรนั้น ได้แก่
                 1. ความร้อน
                     ความร้อน ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เอง และภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงานเป็นสาเหตุให้มีกระแสไฟฟ้าที่เป็นพลังงานให้กับอุปกรณ์ภายใน บางส่วนสูญเสียออกมาในรูปของความร้อนซึ่งความร้อนนี้เองเป็นสาเหตุของความเสียหายกับอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
                      การแก้ปัญหาเกี่ยวกับความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำได้ดังนี้
                      1.1 การระบายความร้อนด้วยพัดลม หรือ Power Supply เครื่องคอมพิวเตอร์บางรุ่นจะมีพัดลม ระบายความร้อนอยู่ภายในเครื่องเลย แต่สำหรับบางรุ่นจะไม่มีมาให้ ผู้ใช้จะต้องซื้อมาติดเพิ่มเอง
                      1.2 ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ในสถานที่ที่อุณหภูมิเหมาะสม สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้งานในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 60 - 85 องศา ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว แผงวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิร้อนถึง 125 องศา แต่ปกติอุณหภูมิภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จะสูงกว่าอุณหภูมินอกเครื่องประมาณ 40 องศา ดังนั้น 85 องศา จึงเป็นอุณหภูมิสูงสุดที่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้
                     1.3 ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากแสงแดด เพราะแสงแดดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นได้ ดังนั้นถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกแสงแดดส่องเป็นเวลานาน ๆ อาจจะเกิดความเสียหายได้
             2. ฝุ่นผง
                 ฝุ่นผงอาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างเพราะฝุ่นผงสามารถเกาะพื้นผิวชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แผงวงจรภายใน เมื่อนาน ๆ ไปจะเคลือบหนาขึ้นและยึดติดแน่นจนทำให้เป็นฉนวนกั้นความร้อนทำให้แผงวงจรนั้นไม่สามารถระบายความร้อนได้ เป็นผลเสียต่อเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงควรกำจัดฝุ่นผงภายในเครื่องคอมพิวเตอร์สม่ำเสมอ ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ในบ้านควรทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ภายในสำนักงานควรทำความสะอาดทุก 6 เดือน
            3. แม่เหล็ก
                แม่เหล็กไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่จะสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลที่อยู่แผ่นดิสก์หรือแม้กระทั่งฮาร์ดดิสก์ได้ ซึ่งอาจถึงขั้นใช้ดิสก์นั้นไม่ได้เลย จอภาพก็เป็นแหล่งกำเนิดแรงแม่เหล็กด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้ใช้เผลอวางแผ่นดิสก์ไว้ใกล้จอภาพก็อาจทำให้ข้อมูลภายในดิสก์เสียหายลำโพงก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน รวมถึงมอเตอร์ที่อยู่ภายในเครื่องพิมพ์ก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน
           4. น้ำและของเหลว
               น้ำและของเหลวเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อคอมพิวเตอร์ได้ง่าย สาเหตุเพราะน้ำและของเหลวจะเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้หลายทางด้วยกัน ทางที่ดีควรหาพลาสติกมาคลุมเครื่องไว้ในเครื่องไว้เมื่อไม่ใช้งาน
          5. กระบวนการเกิดสนิม
              ตัวการที่ก่อให้เกิดสนิมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งภายนอกและแผงวงจรภายใน ได้แก่
              - เกลือและเหงื่อ
              - น้ำ
              - อากาศ (ที่มีกรดซัลฟูริก กรดเกลือ หรือกรดคาร์บอนิก)
              ปัญหาใหญ่ก็คือ การเกิดสนิมที่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอาจทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้หรือทำงานผิดพลาด เพราะฉะนั้นจึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดสนิม

13.3 การบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์
         
1. หม้อแปลงไฟฟ้า (Power Supply)
              ภายในหม้อแปลงไฟฟ้ามีพัดลมระบายความร้อนด้วย อีกทั้งยังมีอันตรายจากกระแสไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้ากระชาก ซึ่งอาจเกิดจากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้าดับและติดอย่างรวดเร็ว และไฟฟ้าดับ ดังนั้น เราจึงควรป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ด้วยการถอดสายเพาเวอร์ออกจากเต้าเสียบไฟฟ้า เพราะอาจเกิดฟ้าผ่าบริเวณใกล้ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ ได้รับความเสียหายหรือติดตั้งเครื่อง UPS ( Uninteruptable Power Supply ) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าและป้องกันไฟฟ้ากระซาก และทำให้เรามีเวลาเพียงพอที่จะบันทึกข้อมูลที่สำคัญไว้
        2. จอภาพ
             ทำการรักษาภายนอกจอภาพด้วยน้ำยาทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์และคลุมเครื่องด้วยพลาสติกหรือผ้าแล้ว ยังควรมีโปรแกรมสกรีนเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถ ถนอมจอภาพกรณีที่เครื่องเปิดไว้นาน ๆ
        3. ฟล็อปปี้ดิสก์ ( Floppy Disk )
            การบำรุงรักษาฟล็อปปี้ดิสก์ ทำได้โดย
            - เก็บแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ให้ห่างจากแม่เหล็ก หรือสนามแม่เหล็ก เช่น มือถือ โทรศัพท์
            - อย่าให้ของเหลวใด ๆ หกรดลงแผ่นดิสก์
            - อย่าเก็บแผ่นไว้ในสถานที่ซึ่งมีความชื้น ร้อน หรือเย็นเกินไป
            - อย่าใช้มือหรือสิ่งอื่นใดสัมผัสช่องอ่าน / บันทึก
            - อย่าทำให้แผ่นดิสก์โค้งหรืองอ
            - อย่าใช้ตัวหนีบหรือยางรัดแผ่นดิสก์เกต
            - อย่าใช้ปากกาหมึกแห้งหรือดินสอเขียนบนแผ่นป้ายฉลากที่อยู่บนแผ่นดิสก์
            - ควรติดป้ายฉลากบอกชื่อแผ่นดิสก์เกต
            - ควรเก็บแผ่นดิสก์เกตไวในกล่องอย่างเป็นระเบียบ
       4. ฮาร์ดดิสก์ ( Hard Disk )
           การบำรุงรักษาฮาร์ดดิสก์ นอกจากจะไม่ให้ฮาร์ดดิสก์กระทบกระเทือนและระมัดระวังไม่ลบไฟล์สำคัญที่เกี่ยวกับการทำงานของฮาร์ดิสก์แล้ว ยังต้องป้องกันไม่ให้เกิดไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ฮาร์ดดิสก์ด้วย นอกจากนี้ เดือนหนึ่ง ๆ ควรจะใช้โปรแกรมซ่อมแซมดิสก์เพื่อตรวจสอบว่าดิสก์มีปัญหาอะไร และควรใช้โปรแกรมประเภท Defragmentation ทำกระบวนการย้อนกลับเพื่อให้ส่วนของไฟล์มาเรียงชิดกันเหมือนเดิมจะทำให้การอ่านเขียนเร็วขึ้น
      5. ดิสก์ไดร์ฟ ( Disk Drive )
          ในขณะที่ดิกส์ไดร์ฟกำลังทำงาน ไม่ควรดึงแผ่นดิสก์ออกจากดิสก์ไดร์ฟ คอมดูแลระวังฝุ่นละอองอย่าให้มีฝุ่นเกาะและควรล้างทำความสะอาดหัวอ่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง ควรปฏิบัติอย่างน้อยเดือนละครั้ง
      6. ซีดีรอมไดร์ฟ ( CD-Rom Drive )
          การบำรุงรักษา ทำได้โดยใช้ล้างทำความสะอาดซีดีรอมไดร์ฟ
      7. เครื่องพิมพ์ ( Printer )
          นอกจากจะทำความสะอาดจากภายนอกแล้ว ยังต้องระมัดระวังเรื่องการสอดใส่กระดาษ อย่าให้กระดาษติด อย่าให้ของเหลวใด ๆ หกใส่ ปราศจากฝุ่นละอองและควรอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม

13.4 การใช้งาน Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ


การทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์หรือ Disk Defragmenter ก็คือการทำการจัดเรียงข้อมูลของไฟล์ต่าง ๆ ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ให้มีความต่อเนื่องหรือเรียงเป็นระบบต่อ ๆ กันไป ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ความเร็วในการอ่านข้อมูลของไฟล์นั้น จะมีการอ่านข้อมูล ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นถ้าหากมีไฟล์ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อต้องการอ่าน ข้อมูลของไฟล์นั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ก็จะต้องมีการเคลื่อนย้ายไปมาเพื่อทำการอ่านข้อมูลจบครบ หากเรามีการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์ แล้วจะทำให้การเก็บข้อมูลจะมีความต่อเนื่องกันมากขึ้น เมื่อต้องการอ่านข้อมูลนั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์จะสามารถอ่านได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายหัวอ่านบ่อยหรือมากเกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการอ่านได้เร็วขึ้นที่จริงแล้ว ยังมีโปรแกรมของบริษัทอื่น ๆ อีกหลายตัวที่สามารถทำการจัดเรียงข้อมูลให้มีความต่อเนื่องกันได้ เช่น Speeddisk ของ Norton และอื่น ๆ อีกมาก แต่ในที่นี้จะขอแนะนำหลักการของการใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ที่มีมาให้กับ Windows อยู่แล้ว ไม่ต้องไปค้นหาจากที่อื่นครับ
ข้อแนะนำก่อนใช้โปรแกรม Disk Defragmenterเพื่อให้การใช้งาน Disk Defragmenter มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนการเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ควรจะเรียกโปรแกรม Walign ก่อนเพื่อการจัดเรียงลำดับของไฟล์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ให้มาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของฮาร์ดดิสก์ครับ โดยที่โปรแกรม Walign จะทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการใช้งานไฟล์ ที่มีการเรียกใช้บ่อย ๆ ไว้ และนำมาจัดการเรียงลำดับ ให้อยู่ในส่วนแรก ๆ ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นการที่เราเรียกโปรแกรม Walign ก่อนการทำ Disk Defragmenter จะเป็นการเพิ่มความเร็วของการอ่านข้อมูลได้อีกทางหนึ่ง โปรแกรม Walign จะอยู่ใน Folder C:\WINDOWS\SYSTEM\Walign.exe ครับ เปิดโดยการเข้าไปใน My Computer และเลือกไฟล์


กดดับเบิลคลิกที่ไฟล์ Walign เพื่อเรียกไฟล์ Walign.exe


โปรแกรมจะเริ่มต้นการ Tuning up Application เมื่อเสร็จแล้วจึงทำการ Defrag ต่อไป
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการทำ Disk Defrag คือต้องปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในขณะนั้นให้หมดก่อน เช่น Screen Saver, Winamp หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่จะต้องทำให้มีการอ่าน-เขียน ฮาร์ดดิสก์ บ่อย ๆ เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฮาร์ดดิสก์มีการอ่าน-เขียนข้อมูล จะทำให้โปรแกรม Disk Defragment เริ่มต้นการทำ Defrag ใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำ Defrag ไม่ยอมเสร็จง่าย ๆ หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows แบบ Safe Mode โดยการกด F8 เมื่อเปิดเครื่องเพื่อเข้าหน้าเมนู และเลือกเข้า Safe Mode แทนก็ได้

การเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter

เรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter โดยการกดเลือกที่ Start Menu เลือกที่ Programs และเลือก Accessories เลือกที่ System Tools และเลือก Disk Defragmenter ตามรูปตัวอย่าง



เลือกที่ Disk Defragmenter เพื่อเรียกใช้โปรแกรม Defrag


เลือกที่ Drive ที่ต้องการทำ Defrag และกด OK เพื่อเริ่มต้นการทำ Defrag หรืออาจจะเลือกที่ Settings... เพื่อทำการตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนก็ได้

Rearrange program files... เลือกถ้าต้องการให้มีการจัดเรียงลำดับการเก็บข้อมูลของไฟล์
Check the drive... เลือกถ้าต้องการให้มีการตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ก่อนการทำ Defrag
This time only เลือกถ้าต้องการให้การตั้งค่าข้างบน มีผลเฉพาะการเรียก Disk Defragmenter ในครั้งนี้เท่านั้น
Every time I degragment... เลือกถ้าต้องการเก็บค่าที่ตั้งไว้ให้ใช้ตลอดไปโดยไม่ต้องเข้ามาเลือกใหม่

เมื่อเลือกได้แล้วก็กด OK (แต่ขอแนะนำให้เลือกใช้ค่าที่ตั้งไว้อยู่แล้ว จะดีกว่า)


เมื่อกด OK ก็จะเริ่มต้นการทำ Disk Defragment ซึ่งระยะเวลาที่ใช้ จะค่อนข้างนานมากนะประมาณ 1-4 ชม.ทีเดียว ดังนั้นก็นาน ๆ ทำสักครั้งก็พอ ไม่ต้องทำบ่อยนัก ถ้าสงสารฮาร์ดดิสก์ที่ต้องมีการทำงานที่หนัก ๆ มากครับ โดยส่วนตัวผมแนะนำว่า ถ้าไม่มีการลงโปรแกรมต่าง ๆ บ่อยนักก็ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่ถ้าหากรู้สึกว่าฮาร์ดดิสก์ทำงานช้าลงไป ก็ลองทำดูสักครั้ง

ข้อควรระวังในการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์

ขณะที่กำลังทำการ Defrag หากต้องการยกเลิกการทำงาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะสูญหาย


สรุปท้ายบท
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนมากในการใช้งาน การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์ไปได้มาก การคิดค่าดูแลรักษาคอมพิวเตอร์จะคิดแบบคร่าว ๆ ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของราคาซื้อ เช่น ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาราคา 20000 บาท ก็จะเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลเป็นเงิน 2000 บาท ซึ่งในเงิน 2000 บาท นี้ จะรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย เพราะฉะนั้นการดูแลรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละชิ้นส่วนนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก ในการช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียให้กับการซ่อมเครื่องนั้น

บทที่ 12 การติดตั้งโปรแกรม Multimedia

  การติดตั้งโปรแกรม Multimedia



1.1 บทนำ       โปรแกรม Multimedia ในปัจจุบันนับว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวเนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่าการพิมพ์งานมีการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการดูภาพยนต์ ฟังเพลง หรือเล่นเกมเพื่อความบันเทิงกันมากขึ้น ในบทนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งโปรแกรม Winampซึ่งโปรแกรมสำหรับฟังเพลงรูปแบบ MP3 และโปรแกรม Power DVD ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับดูภาพยนตร์


2.2 การติดตั้ง Winampโปรแกรมเล่นเพลง MP3      Winampเป็นโปรแกรมสำหรับเล่นเพลงแบบ MP3 และสามารถเล่นเพลงในรูปแบบอื่น ๆได้ด้ววย มีหน้ากากหรือ Skin สำหรับเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเพลงของ CD Audio ธรรมดาได้มีการปรับแต่งเสียงและอื่น ๆ อีกมากมาย ในบทนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งโปรแกรม Winamp Version 2.62 ซึ่งสามารถหา Download ได้จาก http://www.winamp.com/ มาดูวิธีการติดตั้งกัน เริ่มจากทำการ Download มาเก็บไว้ก่อนแล้วเริ่มต้นการติดตั้ง โดยดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ Setup ที่ดาวน์โหลดมาจะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 1 ให้กดที่ปุ่ม Next




รูปที่ 1 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม Winamp
       เมื่อกดปุ่ม Next แล้วจะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 2 เป็นการเลือกให้ Winampสามารถทำงานกับไฟล์ต่าง ๆ ได้ให้กดที่ปุ่ม Next อีกครั้ง


รูปที่ 2 แสดงการเลือกไฟล์ที่จะทำงานร่วมกับ Winamp
       จะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 3 เป็นการเลือกไดเรกทอรีที่จะติดตั้งโปรแกรมโดยโปรแกรมจะทำการเซ็กเนื้อที่ที่ว่างใน Harddiskและเนื้อที่ ๆโปรแกรมต้องการให้กดปุ่ม Next


รูปที่ 3 แสดงหน้าต่างการเลือกไดเรกทอรีติดตั้งโปรแกรม
       โปรแกรมจะเริ่มต้นการติดตั้ง


รูปที่ 4 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม

       เมื่อติดตั้งไปซักพักโปรแกรมจะให้เลือกชนิดของการ Connect to the Internet ว่าท่านใช้แบบ LAN,Dial-Up หรือไม่มี Internet หรือถ้าหากจะใช้ Winampเพื่อฟังเพลงจากเครื่องเราอย่างเดียวก็เลือก No Internet Connection Available แล้ว กด Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


รูปที่ 5 แสดงการเลือกการเชื่อมต่อกับ Internet หรือไม่


       เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะแสดงหน้าต่างดังรูปที่ 6 ให้กดที่ปุ่ม Run Winampเพื่อเรียกโปรแกรม Winampขึ้นมา


รูปที่ 6 แสดงการสิ้นสุดการติดตั้งโปรแกรม Winamp

          หน้าตาของโปรแกรม Winampก็จะแสดงขึ้นมาดังรูปที่ 7 ส่วนในการติดตั้งโปรแกรม Winampเวอร์ชันอื่น ๆ จะมีลักษณะคล้าย ๆเรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยที่เดียว


รูปที่ 7 แสดงหน้าตาของโปรแกรม Winamp 
12.3 การติดตั้ง Power DVD โปรแกรมสำหรับดูภาพยนตร์
          โปรแกรม PowerDVDเป็น Software จากhttp://www.cyberlink.com.twใช้สำหรับดูหนังจาก VCD หรือ DVD ก็ได้ ได้ยินชื่อแล้วก็ดูน่ากลัวดีแต่ความจริงแล้วโปรแกรมนี้ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ง่ายมาก ๆ ทีเดียวมีลูกเล่นได้หลายอย่าง แนะนำให้ลองหามาใช้ดู
มาดูวิธีการติดตั้งกันดีกว่า เริ่มจากหา Download มาก่อน หลังจากที่ได้ Download มาแล้วให้ทำการ Unzip เก็บไว้ใน Folder ใหม่และเริ่มต้น setup โดยกดดับเบิลคลิกที่ไฟล์ setup


กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



กดที่ Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



ใส่ชื่อและ CD-Key และกดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



ยกเลิกการเลือกที่ช่อง Yes, I want to register now! ออกก่อนนะครับแล้วกด Finish 


กดที่ Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ OK เป็นอันจบขั้นตอนการติดตั้ง พร้อมใช้งานได้ทันที

                                        (http://www.l3nr.org/posts/57234)

สรุปท้ายบท 

           โปรแกรม Winampเป็นโปรแกรม Multimedia ที่นิยมใช้กับไฟล์ประเภท MP3 ซึ่งข้อดีของ Winampคือ โปรแกรมมีขนาดเล็ก สามารถดาวน์โหลดได้จาก Internet และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาของโปรแกรม (Skin) ได้มากมายหลายแบบ